วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์กับผู้ป่วยโรคไต

1.กรณีโรคไต (แบบยังไม่ฟอกไต) การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ให้ผสมน้ำ ดื่มได้ตามปกติ
1 - 5 วันแรก
ให้ผสมน้ำ ปริมาณ 10 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
6 - 15 วัน
ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 15 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
หลังจาก 15 - 30 วัน
ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 20 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)

·  โดยทั่วไปหลังจาก 30 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น (แต่เฉพาะบางท่านที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากจะเห็นผลภายใน 7 วันแรกที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์) โดยสามารถสอบถามอาการจากผู้ป่วยได้ตลอดเวลา สังเกตได้ว่าปัสสาวะมีความถี่น้อยลงมาก อาการเบาเนื้อเบาตัวอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่าง เช่น ตอนกลางคืนปัสสาวะ 5 ครั้ง จะลดลงเหลือ 3 ครั้ง และ 2 ครั้ง และจนเป็นปกติ หลังจากนั้นให้ลดปริมาณการใช้ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เป็น 10 ซีซี ต่อ น้ำ 1.5 ลิตร ดื่มตามการผสมปกติเพื่อปรับสมดุลของร่างกาย
·  ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ ผงชูรส น้ำอัดลม น้ำตาลทรายขาว รวมถึงยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
·  ห้ามดื่มเครื่องดื่มมีอัลกอฮอร์ เช่น สุรา เบียร์
·  หากเป็นไปได้เลิกรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด อาหารรสเค็มจัด อาหารทะเล ยกเว้นเนื้อปลาทานได้
·  สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้

2.ป่วยเป็นโรคโรคไตมานานหลายปี เป็นแบบที่ฟอกไตและที่คุณหมอห้าม ดื่มน้ำในปริมาณมาก หรือจำกัดปริมาณการดื่มน้ำ เพราะจะเกิดอาการน้ำท่วมปอด โดยเฉพาะคนที่ฟอกไตแล้ว สามารถใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ได้ แต่ห้ามผสมน้ำดื่ม แต่ให้ใช้หัวเชื้อบริสุทธิ์ เทใส่ขวดสเปรย์ หรือขวดหยอด (Dropper) หยดใต้ลิ้น

ผู้ที่มีปัญหาโรคไต มักมีอาการ ปัสสาวะบ่อย นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย เป็นตะคิว ปวดเมื่อย เลือดลมไม่ดี ผมหงอกก่อนวัย ถ่ายอุจจาระไม่จับตัวเป็นก้อน
1-5 วันแรก

ใส่ขวดสเปรย์ปริมาณ 10 ซีซี / วัน โดยการใช้ ให้อมไว้ใต้ลิ้น 3- 5 นาที ทุกๆ 1 ชั่วโมง (ใช้จนหมดขวดสเปรย์)
6-15 วัน

ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่มปริมาณเป็น 20 ซีซี / วัน โดยการใช้ ให้อมไว้ใต้ลิ้น 3- 5 นาที ทุกๆ 1 ชั่วโมง (ใช้จนหมดขวดสเปรย์)
หลังจาก 15 วัน

ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่มปริมาณเป็น 30 ซีซี / วัน โดยการใช้ ให้อมไว้ใต้ลิ้น 3- 5 นาที ทุกๆ 1 ชั่วโมง (ใช้จนหมดขวดสเปรย์)



· ข้อสังเกตหลังจาก 30 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น โดยสามารถสอบถามอาการจากผู้ป่วยได้ตลอดเวลา ก็ให้ใช้อยู่ที่ 30-40 ซีซี ต่อวัน ใช้ขวดสเปรย์ จนกระทั้งผู้ป่วยดีขึ้นจึงเริ่มผสมน้ำ เช่น คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เป็น 10 ซีซี ต่อ น้ำ 10 ซีซี (การผสมน้ำให้ดูจากอาการผู้ป่วยเป็นหลัก)
· ห้ามทานผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
· ข้อห้าม ต้องเลิกรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด (ยกเว้นเนื้อปลาทานได้) อาหารรสเค็มจัด อาหารทะเล เครื่องดื่มอัลกอฮอร์ สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้


ติดต่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) และการสมัครตัวแทนจำหน่าย
คุณหนึ่ง  โทร: 083-0340025 , LineID: Chet111
อีเมล์: AlfalfaThai@hotmail.com 
http://Alfalfa.igetweb.com 

มีผื่นคันคล้ายๆ ลมพิษและป่วยเป็นโรคภูมิแพ้

ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้มานานหลายปี มีน้ำมูกไหลตลอดเวลา มีอาการจามตอนเช้าหรือช่วงเวลาที่อาการเย็นหรือฝนใกล้ตก เป็นตลอดเวลาที่มีอาการเย็น มีผื่นคันคล้ายๆ ลมพิษ สามารถดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าได้จะต้องดื่มอย่างไร..…?



·  ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ดื่มแทนน้ำตลอดทั้งวัน
ช่วงวันที่ 1 - 7 อาการช่วงนี้จะจามบ่อย มีน้ำมูกออกมากขึ้น บางรายอาจเป็นไข้ อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง บางท่านอาจมีอาการปวดหัวร่วมด้วย แต่ให้ดื่มต่อไปเรื่อยๆ จะสังเกตว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่เกินระยะเวลา 1 เดือน น้ำมูกลดน้อยลง อาการจามหายไป
·  ห้ามรับประทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ รวมถึงยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
·  งดการดื่มนมวัว หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัว
·  หากเป็นไปได้ให้เลิกรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด (ยกเว้นเนื้อปลาทานได้) ลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มอัลกอฮอร์
·  สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้ 

ติดต่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) และการสมัครตัวแทนจำหน่าย
คุณหนึ่ง  โทร: 083-0340025 , LineID: Chet111
อีเมล์: AlfalfaThai@hotmail.com 
http://Alfalfa.igetweb.com 
http://fb.com/AlfalfaThaiQuality 
http://AlfalfaThai.blogspot.comwww.AlfalfaThai.com

ป่วยเป็นโรคไตมานานหลายปีกับคลอโรฟิลด์

·  ป่วยเป็นโรคโรคไตมานานหลายปี เป็นแบบที่ฟอกไตและที่คุณหมอห้าม ดื่มน้ำในปริมาณมาก หรือจำกัดปริมาณการดื่มน้ำ เพราะจะเกิดอาการน้ำท่วมปอด โดยเฉพาะคนที่ฟอกไตแล้ว สามารถใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ได้ แต่ห้ามผสมน้ำดื่ม แต่ให้ใช้หัวเชื้อบริสุทธิ์ เทใส่ขวดสเปรย์ หรือขวดหยอด (Dropper) หยดใต้ลิ้น
ผู้ที่มีปัญหาโรคไต มักมีอาการ ปัสสาวะบ่อย นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย เป็นตะคิว ปวดเมื่อย เลือดลมไม่ดี ผมหงอกก่อนวัย ถ่ายอุจจาระไม่จับตัวเป็นก้อน

1-5 วันแรก ใส่ขวดสเปรย์ปริมาณ 10 ซีซี / วัน โดยการใช้ ให้อมไว้ใต้ลิ้น 3- 5 นาที ทุกๆ 1 ชั่วโมง (ใช้จนหมดขวดสเปรย์)
6-15 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่มปริมาณเป็น 20 ซีซี / วัน โดยการใช้ ให้อมไว้ใต้ลิ้น 3- 5 นาที ทุกๆ 1 ชั่วโมง (ใช้จนหมดขวดสเปรย์)
หลังจาก 15 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่มปริมาณเป็น 30 ซีซี / วัน โดยการใช้ ให้อมไว้ใต้ลิ้น 3- 5 นาที ทุกๆ 1 ชั่วโมง (ใช้จนหมดขวดสเปรย์)
·  ข้อสังเกตหลังจาก 30 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น โดยสามารถสอบถามอาการจากผู้ป่วยได้ตลอดเวลา ก็ให้ใช้อยู่ที่ 30-40 ซีซี ต่อวัน ใช้ขวดสเปรย์ จนกระทั้งผู้ป่วยดีขึ้นจึงเริ่มผสมน้ำ เช่น คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เป็น 10 ซีซี ต่อ น้ำ 10 ซีซี (การผสมน้ำให้ดูจากอาการผู้ป่วยเป็นหลัก)
·  ห้ามทานผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
·  ข้อห้าม ต้องเลิกรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด (ยกเว้นเนื้อปลาทานได้) อาหารรสเค็มจัด อาหารทะเล เครื่องดื่มอัลกอฮอร์
·  สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้ 

ติดต่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) และการสมัครตัวแทนจำหน่าย
คุณหนึ่ง  โทร: 083-0340025 , LineID: Chet111
อีเมล์: AlfalfaThai@hotmail.com 
http://Alfalfa.igetweb.com 
http://fb.com/AlfalfaThaiQuality 
http://AlfalfaThai.blogspot.comwww.AlfalfaThai.com

โรคลูคีเมีย สามารถดื่มคลอโรฟิลล์ได้หรือไม่

·  ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ดื่มแทนน้ำตลอดทั้งวัน
เดือนที่ 1 หลังจากดื่มจะสังเกตได้ว่า อาการจ้ำเลือดบริเวณผิวหนังจะลดน้อยลง อาการป่วยด้วยโรคต่างๆ ลดน้อยลง สามารถนั่งรถในระยะทางไกลๆ หรือขับรถไปไกลๆ ได้ โดยไม่อ้วกหรืออาเจียน อาการป่วยและมีอาการตัวเย็นก็จะลดความถี่ลง
·  ห้ามทานผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้

ติดต่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) และการสมัครตัวแทนจำหน่าย
คุณหนึ่ง  โทร: 083-0340025 , LineID: Chet111
อีเมล์: AlfalfaThai@hotmail.com 
http://Alfalfa.igetweb.com 
http://fb.com/AlfalfaThaiQuality 
http://AlfalfaThai.blogspot.comwww.AlfalfaThai.com

ป่วยเป็นโรคเก๊าต์มาหลายสิบปีกับคลอโรฟิลล์

เดือนที่ 1 ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
โรคเก๊าต์ ในระยะเวลา 3 – 7 วัน จะมีอาการที่ท่านสังเกตได้คือ มีการปวดมากขึ้นตามข้อ ปวดหัวครั่นเนื้อครั่นตัว มีอาการป่วยเป็นไข้อยู่ 2- 3 วัน หรือมากกว่า บางท่านอาจปวดมากจนทนไม่ได้ ให้ลดปริมาณลงเหลือ 10 ซีซี ต่อน้ำ 1.5 ลิตร และให้ใช้วิธีดื่มน้ำอุ่นตาม ถ้ายังไม่ดีขึ้นสามารถใช้ยาแก้ปวดแผนปัจจุบันร่วมด้วยได้
เดือนที่ 2 ให้ลดปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เป็น ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
·  ห้ามทานผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
·  ลดปริมาณการทานสัตว์ปีก และเครื่องในสัตว์ทุกชนิด

ติดต่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) และการสมัครตัวแทนจำหน่าย
คุณหนึ่ง  โทร: 083-0340025 , LineID: Chet111
อีเมล์: AlfalfaThai@hotmail.com 
http://Alfalfa.igetweb.com 
http://fb.com/AlfalfaThaiQuality 
http://AlfalfaThai.blogspot.comwww.AlfalfaThai.com

ป่วยด้วยอาการโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ HIV ถ้าต้องการดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย จะต้องดื่มอย่างไร.

·  เดือนที่ 1 ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 30 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
โรคเอดส์ เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ใช่โรคที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกาย แต่สามารถใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ฟื้นฟูได้จากประสบการณ์ การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์กับผู้ที่ติดเชื้อโรคนี้จะไม่กำหนดระยะเวลาในการดื่มเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายโดยการใช้นั้นจะให้ดื่มไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่องจนกระทั่งร่างกายมีสภาพร่างกาย และภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น คุณสามารถสังเกตได้จากค่า CD 4 ที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยสามารถเปรียบเทียบค่าก่อนเริ่มดื่ม และหลังจากดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ผ่านไปโดยสามารถทดสอบได้หลังจากเดือนแรก ให้สังเกตได้จากอาการป่วยที่เคยเป็นจะลดน้อยลง และมีค่า CD 4 สูงขึ้นและจะมากขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนต่อๆ มา


·  เมื่อร่างกายของท่านเข้าสู่สภาวะปกติให้ลดปริมาณ สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ เหลือเป็น 10 ซีซี ต่อน้ำ 1.5 ลิตร
·  ในช่วงแรกหลังจากดื่มคลอโรฟิลล์จะมีการตอบโต้การบำบัดโรค หรืออาการกระทุ้งโรค โดยปวดเมื่อยทั้งตัว บางรายมีไข้อยู่หลายวัน บางรายมีอาการง่วงซึมทั้งวัน นั้นแสดงว่าท่านใช้ได้ผลเป็นอย่างดี ให้พยายามทนดื่มต่อไป หลังจากนั้นเมื่อระยะเวลามากกว่า 1 เดือน อาการทุกอย่างจะดีขึ้น
·  ห้ามทานผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
·  ห้ามทานผักที่มีเมือกมาก
·  ถ้าเลี่ยงได้ ห้ามทานปลา 5 ชนิดได้แก่ ปลาสลิด ปลาดุก ปลาสวาย ปลาไหล ปลานิล

ติดต่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) และการสมัครตัวแทนจำหน่าย
คุณหนึ่ง  โทร: 083-0340025 , LineID: Chet111
อีเมล์: AlfalfaThai@hotmail.com 
http://Alfalfa.igetweb.com 
http://fb.com/AlfalfaThaiQuality 
http://AlfalfaThai.blogspot.comwww.AlfalfaThai.com

ป่วยเป็นโรคเบาหวานมานาน ถ้าต้องการใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย ต้องดื่มอย่างไร..?

·  โรคเบาหวานถ้าต้องการใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย
·  ดื่มเพื่อปรับสภาพร่างกายในการรับสารอาหารครั้งแรก ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยใช้ปริมาณ 5 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร เป็นเวลา 2 - 3 วัน

เดือนที่ 1 ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
เดือนที่ 2 ให้เพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยใช้ ปริมาณ 20 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
เดือนที่ 3 ให้เพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยใช้ ปริมาณ 30 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
เดือนที่ 4 เมื่อระดับน้ำตาลปรับลดลงสู่สภาวะปกติแล้ว ท่านสามารถลดปริมาณลงเหลือ 10 ซีซี ผสมน้ำ ต่อวัน


·  ในช่วงแรกสังเกตว่าระดับน้ำตาลในเลือดอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม จะใช้เวลาอยู่ช่วงหนึ่ง ในช่วงเวลาของเดือนที่ 1 แต่ไม่ต้องตกใจ เมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดถูกสลายหมดแล้ว ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะลดลงสู่ระดับปกติ แต่สามารถสังเกตได้ว่าท่านจะไม่เหนื่อยไม่เพลีย
·  ท่านที่เป็นเบาหวานสะสมมาตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงในเดือนที่ 2 แต่ถ้าเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่า 5 ปี ระดับน้ำตาลในเลือดอาจจะลดลงจนถึงระดับปกติในช่วงประมาณเดือนแรก
·  ต้องดื่มให้หมดขวด 1.5 ลิตรในแต่ละวัน
·  ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผัก และผลไม้
·  กรณีมีแผลที่เกิดจากโรคเบาหวาน ท่านสามารถใช้หัวเชื้อบริสุทธิ์ไม่ต้องผสมน้ำ ใช้หยอดบริเวณแผลที่รักษาไม่หายขาด ที่เกิดจากโรคเบาหวานได้
·  สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้

ติดต่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) และการสมัครตัวแทนจำหน่าย
คุณหนึ่ง  โทร: 083-0340025 , LineID: Chet111
อีเมล์: AlfalfaThai@hotmail.com 
http://Alfalfa.igetweb.com 
http://fb.com/AlfalfaThaiQuality 
http://AlfalfaThai.blogspot.comwww.AlfalfaThai.com

สิ่งที่ควรที่ควรหลีกเลี่ยงในการบริโภค ?

·  น้ำอัดลม
น้ำอัดลมเป็นเครื่องดื่มที่ประกอบไปด้วยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ น้ำตาลทราย และกรดฟอสฟอริก (Phosphoric Acid> อันตรายของน้ำอัดลมนั้นเมื่อเราดื่มเข้าไป ร่างกายของเราจะรับเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ กรดฟอสฟอริก และน้ำตาลเข้าไปในเวลาเดียวกัน ซึ่งทั้ง 3 อย่างมีผลต่อค่าพีเอช (PH) ของเลือด โดยจะทำให้ค่าพีเอช (PH ) ต่ำลง ซึ่งหมายความว่า เลือดของคุณจะมีความเป็นกรดสูงขึ้น ค่าพีเอช (PH) ของเลือดที่เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อยก็สามารถก่อให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงตามมาได้ และเพื่อแก้ไขความผิดปกติดังกล่าวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ร่างกายจึงมีระบบการป้องกันความปลอดภัย โดยการดึงเอาแคลเซี่ยมที่เก็บสะสมไว้มาช่วยปรับค่าพีเอช (PH) ของเลือดและเนื้อเยื่อให้กลับมาอยู่ในสภาพปกติ การดึงเอาแคลเซี่ยมที่สะสมอยู่ออกมาใช้งาน ร่างกายของคุณจะถูกบังคับให้ใช้พลังงานแคลเซี่ยมจำนวนมากไปกับการพยายามปรับค่าความเป็นกรดด่างให้กลับมาเป็นปกติ การบังคับให้ร่างกายดึงเอาแคลเซี่ยมที่สะสมไว้มาใช้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ นอกจากร่างกายของคุณจะไม่สามารถเยียวยาตัวมันเองได้อย่างเต็มที่แล้ว คุณยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนเนื่องจากร่างกายขาดแคลเซี่ยม

·  น้ำตาลทรายขาว
น้ำตาลทรายขาว หรือน้ำตาลซูโครส (Sucrose) ก่อให้เกิดกรดขึ้นภายในร่างกายได้ในเวลาอันรวดเร็วและรุนแรง และยังดึงสารอาหารที่จำเป็นที่ร่างกายสะสมไว้ออกมาใช้อีกด้วย ตัวอย่างเช่น การดื่มน้ำหวาน 1 แก้ว ซึ่งมีน้ำตาลอยู่ 9 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทรายขาวนี้จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด และทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรดจนถึงขีดสุดอย่างรวดเร็ว หากปราศจากระบบป้องกันตัวของร่างกายที่สร้างขึ้นเองตามธรรมชาติ คุณอาจเสียชีวิตได้ในเวลาไม่กี่นาที เพื่อจะทำให้ค่าพีเอช (PH) ของเลือดมีค่าความเป็นกรดด่างตามปกติ คุณต้องดื่มน้ำในปริมาณถึง 32 แก้วอย่างรวดเร็ว แต่ความเป็นจริงไม่มีใครสามารถดื่มน้ำในปริมาณที่มากมายขนาดนั้นในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นเพื่อขจัดปัญหาดังกล่าว ร่างกายจึงมีระบบป้องกันตนเองโดยการดึงเอาแคลเซี่ยมจากกระดูกและฟันในปริมาณที่มากเข้ามายังกระแสเลือด เพื่อปรับเลือดที่มีความเป็นกรดให้มีความเป็นกลาง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ คุณยังมีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนเนื่องจากร่างกายขาดแคลเซี่ยม เช่นกัน
แต่ที่อันตรายอย่างมากก็คือ น้ำตาลทรายขาวยังมีอันตรายจากผงฟอกขาวอีกด้วย ถ้าจำเป็นต้องบริโภคควรเลี่ยงไปใช้น้ำตาลทรายแดงในการบริโภคแทน

·  ผงชูรส
ผงชูรส หรือ โมโนโซเดียมกลูตาเมต (Monosodium Glutamate) หรือ MSG เป็นสารที่ใช้เพิ่มรสชาติของอาหาร องค์ประกอบหลักของผงชูรส คือ กรดอะมิโน ที่มีชื่อว่า "กรดกลูตามิก" หรือ "กลูตาเมต" บางท่านอาจเคยมีอาการชาตามมือ และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า และรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก บางครั้งอาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัว อาการเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในนาม โรคภัตตาคารจีน (Chinese Restaurant Syndrome) หรือโรคแพ้ผงชูรส
นอกจากจะมีอาการข้างต้นแล้ว หากรับประทานอาหารที่มีปริมาณผงชูรสในปริมาณที่มาก เป็นประจำย่อมเกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ ดังนี้
ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้
ทำลายกระดูก และไขกระดูก ซึ่งผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้ ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี 6 ทำให้เป็นโรคผิวหนังได้ง่าย
ทำลายสมองส่วนหน้าหรือไฮโปทาลามัส ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน และเป็นหมัน
ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น
สำหรับ ผู้ที่ตั้งครรภ์ ถ้ากินผงชูรสมากๆ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมของทารกในครรภ์ ทำให้ร่างกายของเด็กเกิดความผิดปกติ ปากแหว่ง แขนขาพิการได้

ติดต่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) และการสมัครตัวแทนจำหน่าย
คุณหนึ่ง  โทร: 083-0340025 , LineID: Chet111
อีเมล์: AlfalfaThai@hotmail.com 
http://Alfalfa.igetweb.com 
http://fb.com/AlfalfaThaiQuality 
http://AlfalfaThai.blogspot.comwww.AlfalfaThai.com

อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆ ที่ควรทราบ

·  มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดท้องอย่างมาก และระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ ***วิธีการสังเกตข้อแตกต่างระหว่างริดสีดวงทวารกับมะเร็งลำไส้*** ริดสีดวงทวารถ้าใช้กระดาษเทิชชูซับแล้วมีเลือดสีแดงสด นั้นคืออาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าหากเลือดมีสีดำคล้ำนั้นคืออาการของ โรคมะเร็งลำไส้
·  มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการ มีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
·  มะเร็งผิวหนัง อาการ มีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน ตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้น และมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่างของขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า เมลาโตมา (Melanoma) คือ เนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระ จุดด่างหรือ ไฝ
·  มะเร็งทรวงอก อาการ มีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนม หัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น มีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณรักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวัง เพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์
·  มะเร็งในกระเพราะอาหาร อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาเจียรออกมาเป็นเลือด ท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งได้รับประทานอาหารไปเพียงไม่กี่คำ
·  มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
·  มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือที่ลิ้นเป็นเวลานาน มีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือใส่ไว้เป็นระยะเวลานาน
·  มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนานๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียรหรือมีอาการผิดปกติของการมองเห็น เช่น ตาพร่า และเห็นแสงเขียวๆ แดงๆ ลอยไปมา เวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือเป็นลมโดยกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน เช่น มีอาการชา และเป็นอัมพาตชั่วคราว ควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติปวดหัวและมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย
·  มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
·  มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัดเจน
·  มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อยๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลาย น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว เจ็บหน้าอกและหายใจลำบาก หรือมีอาการหอบปนอยู่ทั้งๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
·  มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการ เหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติ มักมีอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ และมักเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกาย บางครั้งท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
·  มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือมีอาการเจ็บปวดหลังมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
·  มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีการบวมในช่องท้อง
·  มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้
·  มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
·  ที่มา... หนังสือ ไม่ยากถ้าไม่อยากป่วย เรียบเรียงโดย ดร. สุภัสสร วัฒนกิจ

ติดต่อปรึกษาผู้เชี่ยวชาญคลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) และการสมัครตัวแทนจำหน่าย
คุณหนึ่ง  โทร: 083-0340025 , LineID: Chet111
อีเมล์: AlfalfaThai@hotmail.com 
http://Alfalfa.igetweb.com 
http://fb.com/AlfalfaThaiQuality 
http://AlfalfaThai.blogspot.comwww.AlfalfaThai.com